รีวิวอันนี้ เป็นรีวิวย้อนอดีตกันนิดนึง เพราะไปมาตั้งแต่เดือนเมษา แต่เพิ่งมาเขียนเล่าสู่กันฟัง (เอาจริงๆ ก็คือขี้เกียจเขียนอ่ะค่ะ T^T) ผ่านรีวิวเป็นจริงเป็นจังของเอมไปหลายอัน เลยมาปรับเปลี่ยนอารมณ์กันนิดนึง ^^
คิดว่า ตอนนี้หลายๆ คนอาจจะกำลังวางแผนสำหรับไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงสงกรานต์ปีหน้า อ้างอิงเอาจากตัวเองที่วางแผนล่วงหน้าประมาณ 5-6 เดือน เลยคิดว่า รีวิวอันนี้ อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังวางแผนท่องเที่ยวบ้างคับ
การเดินเล่นครั้งนี้ เกิดจากร้านหนังสือมือ 2 ... ร้านเล็กๆ แถวสะพานควาย ที่เอมเข้าไปเดินเล่นสัก 3-4 ปีมาแล้ว และได้หนังสือ “เที่ยวด้วยรถไฟ 2 วัน 1 คืน จากโตเกียว” มา เป็นหนังสือที่ดูเป็นหนังสือแปลมามากๆ ตอนอ่าน ประทับใจภาพหนึ่ง เป็นสะพานแขวนอยู่ในหุบเขา บนพื้นน้ำสีฟ้าจัด แถมวิธีการเดินทางไปยังไปกับรถจักรไอน้ำซะด้วย อยากไปจัง แต่ก็นะไม่ค่อยอยากไปโตเกียวเท่าไร เอมเคยไปเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว ในความทรงจำคือความวุ่นวาย 5555 เวลาวางทริปญี่ปุ่นที่ผ่านมาก็ขอไปเมืองไกลๆ โตเกียวดีกว่า
หนังสือเล่มนี้ ^^ |
แต่ด้วยเหตุที่เอมกับผองเพื่อนกิน จะไปวิ่ง eco slow marathon ที่ชิบะ ซึ่ง... อยู่ใกล้ๆ โตเกียว ตั้งแต่สมัครวิ่งที่งานลากูน่ามาราธอนเมื่อปี 2558 ที่ภูเก็ตไป เอมก็เริ่มหาข้อมูลว่าจะไปไหนดี หนังสือเล่มนี้ก็เลยถูกหยิบออกมาจากตู้หนังสือ ^^ และแล้ว แผนการเดินทางก็ถูกวางขึ้น...
“เอมจะไปที่นี่” ...
ปักหมุดและหักคอเพื่อนร่วมทริปในทันที ไม่ให้โอกาสอื่นใดในการตัดสินใจ และไม่ดูรายละเอียดอื่นๆ แม้แต่น้อยว่า... จะไปที่นี่จากโตเกียว มันไม่มีพาสอะไรจะช่วยลดราคาได้เลยนะ และด้วยประโยค “เอมจะไปที่นี่” ก็เลยเป็นการมอบหมายหน้าที่ในการจัดโปรแกรมเป็นของข้าพเจ้าไปโดยปริยาย อยากไปนักใช่ไหม... จัดมาๆ และด้วยเหตุนี้ เอมเลยแถมเที่ยวในชิสึโอกะไปอีก 1 วัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว..
“เอมจะไปที่นี่” ...
ปักหมุดและหักคอเพื่อนร่วมทริปในทันที ไม่ให้โอกาสอื่นใดในการตัดสินใจ และไม่ดูรายละเอียดอื่นๆ แม้แต่น้อยว่า... จะไปที่นี่จากโตเกียว มันไม่มีพาสอะไรจะช่วยลดราคาได้เลยนะ และด้วยประโยค “เอมจะไปที่นี่” ก็เลยเป็นการมอบหมายหน้าที่ในการจัดโปรแกรมเป็นของข้าพเจ้าไปโดยปริยาย อยากไปนักใช่ไหม... จัดมาๆ และด้วยเหตุนี้ เอมเลยแถมเที่ยวในชิสึโอกะไปอีก 1 วัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว..
ก่อนไป เราก็ทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับรถ SL หรือ Steam Locomotive หรือ หัวรถจักรไอน้ำ หากสนใจที่จะนั่งรถ SL ในเส้นทางนี้ ทางที่ดีที่สุดคือการจองตั๋วไว้ล่วงหน้า ผ่านทาง http://oigawa-railway.co.jp/library ในที่นี้จะเป็นการจองตั๋วไว้เฉยๆ โดยเมื่อไปที่สถานีเราก็บอกหมายเลข จ่ายเงิน และได้ตั๋วมาค่ะ
ในการเดินทางไปขึ้นรถไฟ เราต้องไปขึ้นที่สถานี Shin-Nakaya หากใครจะมาจากโตเกียวช่วงเช้าก็ทันนะคะ สามารถที่จะนั่งชินกังเซ็นแล้วมาต่อรถไฟไปได้ แต่เอมเลือกที่จะมานอนอยู่ที่ชิสึโอกะค่ะ จะได้ตื่นสายๆ เดินเล่นชมเมือง ก่อนที่จะไปนั่งรถไฟคุณปู่กันก็ได้
ดูจากแผนที่แล้ว แต่ละจุดจะอยู่ประมาณนี้
วันที่เอมไปพัก มีงานเทศกาลพอดีค่ะตอนช่วงเช้า จะมีขบวนแห่ไปตามเส้นทางต่างๆ ของเมือง ถ้าใครวางแผนไปชิสึโอกะช่วงเดือนเมษา อาจจะได้เจอขบวนแห่คะ อย่างที่เอมไปเจอคือวันที่ 16 เมษา รายละเอียดเอมไม่แน่ใจว่าจะหาจาก web ไหนนะคะ ตอนนั้นเอมได้ข้อมูลจากที่ไปพัก คือที่ momotaro ค่ะ
ดูขบวนเสร็จแล้ว ก็เดินชมเมืองก่อนจะไปขึ้นรถไฟ... ซากุระกำลังบานพอดีเลยค่ะ
เอมจองตั๋ว SL ไว้เป็นรอบ 11.52 จาก Shin-kanaya ไป Senzu เริ่มต้นจากที่ชิสึโอกะ นั่งรถไฟ JR Tokaido line ไป ใช้เวลาประมาณ 32 นาที ลงสถานี Kanaya ที่สถานี Kanaya จัดการเรื่องตั๋วที่จองไว้ โดยมีค่าตั๋วรถไฟไปกลับ 3,440 เยน บวกกับค่ารถ SL (ขาไป) อีก 800 เยน ซึ่งจะระบุที่นั่งเรียบร้อย เอมเลือก SL เฉพาะขาไป เพราะตั้งใจจะไปเดินเล่น ทำให้ไม่ทันกับรถไฟ SL เที่ยวขากลับค่ะ
ที่สถานี Kanaya นั่งรถไฟไป 1 สถานีค่ะ ลง Shin Kanaya เห็นรถไฟแล้วชอบมาก น่ารักๆ
การเดินทางแบบนี้ ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งคือข้าวกล่องรถไฟ ที่เป็นเฉพาะของเส้นทางนี้เท่านั้น ราคา 1080 เยน สามารถซื้อได้ทั้งที่สถานี Kanaya และ Shin-kanaya โดยรถไฟ SL จะออกเดินทางจากสถานี Shin-kanaya นั่งรถไฟจาก Kanaya ไป Shin kanaya เมื่อลงมาที่สถานี เราไปถึงก็พบกับมหาชนนักท่องเที่ยวกำลังรุมล้อมถ่ายรูปกับคุณปู่ SL อย่างสนุกสนาน
ก่อนหน้าจะมา ได้ลองค้นหาข้อมูลดูพบว่า หัวรถจักรไอน้ำที่ใช้ในเส้นทางนี้มีขบวนที่นำไปจากประเทศไทย คือ C56 44 ซึ่งเป็นหัวรถจักรไอน้ำของญี่ปุ่นที่นำมาใช้ในประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และในปี 2522 หัวรถจักรไอน้ำก็ได้เดินทางกลับสู่ญี่ปุ่น โดย C56 44 ได้ถูกนำมาใช้ในเส้นทางเดินรถของทาง Oigawa railway และเมื่อปี 2550 ก็ได้มีการทำสีภายนอกใหม่ตามสีเดิมที่ใช้ในประเทศไทย เพื่อเป็นที่ระลึกความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น 120 ปี พยายามมองหา C56 44 เผื่อจะได้เข้าไปถ่ายรูปด้วย... ก็ไม่เจอ โดยคุณปู่ที่จะพาเราเดินทางในครั้งนี้จะเป็น C10 8 มีรูปซากุระหวานแหววอยู่ด้านหน้า ภายในขบวนรถคนไทยอย่างเรารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี นึกย้อนไปถึงช่วงเรียนลาดกระบัง รถไฟประมาณนี้แหละ ที่เรานั่งประจำ
ยังพอมีเวลาเหลือ เดินออกไปด้านนอกสถานี จะมีอาคารที่ขายข้าวกล่องรถไฟอยู่ค่ะ ด้านในมีรถไฟโชว์อยู่ด้วย
ในการเดินทางไปขึ้นรถไฟ เราต้องไปขึ้นที่สถานี Shin-Nakaya หากใครจะมาจากโตเกียวช่วงเช้าก็ทันนะคะ สามารถที่จะนั่งชินกังเซ็นแล้วมาต่อรถไฟไปได้ แต่เอมเลือกที่จะมานอนอยู่ที่ชิสึโอกะค่ะ จะได้ตื่นสายๆ เดินเล่นชมเมือง ก่อนที่จะไปนั่งรถไฟคุณปู่กันก็ได้
ดูจากแผนที่แล้ว แต่ละจุดจะอยู่ประมาณนี้
วันที่เอมไปพัก มีงานเทศกาลพอดีค่ะตอนช่วงเช้า จะมีขบวนแห่ไปตามเส้นทางต่างๆ ของเมือง ถ้าใครวางแผนไปชิสึโอกะช่วงเดือนเมษา อาจจะได้เจอขบวนแห่คะ อย่างที่เอมไปเจอคือวันที่ 16 เมษา รายละเอียดเอมไม่แน่ใจว่าจะหาจาก web ไหนนะคะ ตอนนั้นเอมได้ข้อมูลจากที่ไปพัก คือที่ momotaro ค่ะ
ดูขบวนเสร็จแล้ว ก็เดินชมเมืองก่อนจะไปขึ้นรถไฟ... ซากุระกำลังบานพอดีเลยค่ะ
เอมจองตั๋ว SL ไว้เป็นรอบ 11.52 จาก Shin-kanaya ไป Senzu เริ่มต้นจากที่ชิสึโอกะ นั่งรถไฟ JR Tokaido line ไป ใช้เวลาประมาณ 32 นาที ลงสถานี Kanaya ที่สถานี Kanaya จัดการเรื่องตั๋วที่จองไว้ โดยมีค่าตั๋วรถไฟไปกลับ 3,440 เยน บวกกับค่ารถ SL (ขาไป) อีก 800 เยน ซึ่งจะระบุที่นั่งเรียบร้อย เอมเลือก SL เฉพาะขาไป เพราะตั้งใจจะไปเดินเล่น ทำให้ไม่ทันกับรถไฟ SL เที่ยวขากลับค่ะ
ตั๋วสำหรับ SL |
ตั๋วรถธรรมดา ซื้อแบบไปกลับ |
ด้านในรถไฟ
การเดินทางแบบนี้ ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งคือข้าวกล่องรถไฟ ที่เป็นเฉพาะของเส้นทางนี้เท่านั้น ราคา 1080 เยน สามารถซื้อได้ทั้งที่สถานี Kanaya และ Shin-kanaya โดยรถไฟ SL จะออกเดินทางจากสถานี Shin-kanaya นั่งรถไฟจาก Kanaya ไป Shin kanaya เมื่อลงมาที่สถานี เราไปถึงก็พบกับมหาชนนักท่องเที่ยวกำลังรุมล้อมถ่ายรูปกับคุณปู่ SL อย่างสนุกสนาน
ก่อนหน้าจะมา ได้ลองค้นหาข้อมูลดูพบว่า หัวรถจักรไอน้ำที่ใช้ในเส้นทางนี้มีขบวนที่นำไปจากประเทศไทย คือ C56 44 ซึ่งเป็นหัวรถจักรไอน้ำของญี่ปุ่นที่นำมาใช้ในประเทศไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และในปี 2522 หัวรถจักรไอน้ำก็ได้เดินทางกลับสู่ญี่ปุ่น โดย C56 44 ได้ถูกนำมาใช้ในเส้นทางเดินรถของทาง Oigawa railway และเมื่อปี 2550 ก็ได้มีการทำสีภายนอกใหม่ตามสีเดิมที่ใช้ในประเทศไทย เพื่อเป็นที่ระลึกความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น 120 ปี พยายามมองหา C56 44 เผื่อจะได้เข้าไปถ่ายรูปด้วย... ก็ไม่เจอ โดยคุณปู่ที่จะพาเราเดินทางในครั้งนี้จะเป็น C10 8 มีรูปซากุระหวานแหววอยู่ด้านหน้า ภายในขบวนรถคนไทยอย่างเรารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี นึกย้อนไปถึงช่วงเรียนลาดกระบัง รถไฟประมาณนี้แหละ ที่เรานั่งประจำ
ยังพอมีเวลาเหลือ เดินออกไปด้านนอกสถานี จะมีอาคารที่ขายข้าวกล่องรถไฟอยู่ค่ะ ด้านในมีรถไฟโชว์อยู่ด้วย
กลับเข้ามาในสถานี ถ่ายรูปเล่นกันอีกนิดนึงงง ^^
ขึ้นมาบนรถไฟ หน้าตาด้านในเป็นแบบนี้... นี่แหละ ที่เราคุ้นเคย
รถไฟเคลื่อนออกจากสถานีตรงเวลา ระหว่างทางมีคนมายืนดู โบกมือทักทายกันเกือบตลอดเส้นทาง (แอบรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางงาม 5555 เพ้อเจ้อจริงๆ) โดยเฉพาะช่วงที่แนวต้นซากุระที่กำลังออกดอก เอมเห็นตากล้องจำนวนมากที่รอถ่ายรูป SL และซากุระ บ้างก็เป็นครอบครัวมานั่งปิกนิกกันใกล้ๆ กับเส้นทางรถไฟ มีพนักงานรถไฟ เอาของเล่นมาขายด้วย เอมซื้ออันนี้มา น่ารักดี
ชมวิวกันเพลินๆ ค่ะ ตอนแรกเอมก็ลังเลว่า จะจัดทริปเป็นถ่ายรูปรถไฟ SL กับซากุระด้วยดีไหม แต่ดูเวลาแล้ว ไม่พอดีจริงๆ ค่ะ เลยต้องเลือกที่อยากไปที่สุด คือไปเดินเล่น ไว้ถ้ามีโอกาส ค่อยวางทริปมาถ่ายรูปรถไฟกันใหม่
สิ่งสำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้.... ข้าวกล่อง เพราะหิวกันแล้วค่ะ นั่งทานข้าวกล่องรถไฟไป ชมวิวสวยๆ บางช่วงก็จะมีพนักงานรถไฟมาเป่าเมาท์ออแกนให้ฟัง คนญี่ปุ่นที่นั่งในตู้เดียวกับกับเอมก็ร้องเพลงกันไปด้วยสนุกสนาน บางช่วงก็จะมาบอกว่าใกล้จะถึงอะไรให้เตรียมตัวดูอะไร รถไฟเส้นทางนี้ผ่านอุโมงค์เยอะมาก และอุโมงค์จะชอบมาเวลาเราจะถ่ายรูป 55555
ข้าวกล่องรถไฟสายนี้ หน้าตาเป็นแบบนี้... มีแถมโปสการ์ดให้ด้วย ><
เปิดมาด้านใน แทแด้นนนนน!!!......ไม่รู้ว่าแต่ละอันมันคืออะไรบ้าง จำได้แต่อันสีชมพูที่มุมล่างซ้าย ให้ความรู้สึกเหมือนกินสบู่มาก 5555 ไม่แนวๆ แต่อันอื่นอร่อยหมดคับ
ชมวิวกันต่อ ชิสึโอกะ เป็นแหล่งปลูกชาที่มีชื่อแหล่งหนึ่งของญี่ปุ่นนะคะ มีพื้นที่ปลูกชามากกว่า 40% ของพื้นที่ปลูกชาทั้งหมดในประเทศ มากเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ไปเที่ยวชิสึโอกะอย่าลืมซื้อชาติดไม้ติดมือกันมาด้วยนะคะ ^^
พนักงานรถไฟมาเป่าเมาท์ออแกนให้ฟังกัน เกือบๆ จะขอเพลงแระ 5555
ขึ้นมาบนรถไฟ หน้าตาด้านในเป็นแบบนี้... นี่แหละ ที่เราคุ้นเคย
รถไฟเคลื่อนออกจากสถานีตรงเวลา ระหว่างทางมีคนมายืนดู โบกมือทักทายกันเกือบตลอดเส้นทาง (แอบรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางงาม 5555 เพ้อเจ้อจริงๆ) โดยเฉพาะช่วงที่แนวต้นซากุระที่กำลังออกดอก เอมเห็นตากล้องจำนวนมากที่รอถ่ายรูป SL และซากุระ บ้างก็เป็นครอบครัวมานั่งปิกนิกกันใกล้ๆ กับเส้นทางรถไฟ มีพนักงานรถไฟ เอาของเล่นมาขายด้วย เอมซื้ออันนี้มา น่ารักดี
ชมวิวกันเพลินๆ ค่ะ ตอนแรกเอมก็ลังเลว่า จะจัดทริปเป็นถ่ายรูปรถไฟ SL กับซากุระด้วยดีไหม แต่ดูเวลาแล้ว ไม่พอดีจริงๆ ค่ะ เลยต้องเลือกที่อยากไปที่สุด คือไปเดินเล่น ไว้ถ้ามีโอกาส ค่อยวางทริปมาถ่ายรูปรถไฟกันใหม่
สิ่งสำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้.... ข้าวกล่อง เพราะหิวกันแล้วค่ะ นั่งทานข้าวกล่องรถไฟไป ชมวิวสวยๆ บางช่วงก็จะมีพนักงานรถไฟมาเป่าเมาท์ออแกนให้ฟัง คนญี่ปุ่นที่นั่งในตู้เดียวกับกับเอมก็ร้องเพลงกันไปด้วยสนุกสนาน บางช่วงก็จะมาบอกว่าใกล้จะถึงอะไรให้เตรียมตัวดูอะไร รถไฟเส้นทางนี้ผ่านอุโมงค์เยอะมาก และอุโมงค์จะชอบมาเวลาเราจะถ่ายรูป 55555
ข้าวกล่องรถไฟสายนี้ หน้าตาเป็นแบบนี้... มีแถมโปสการ์ดให้ด้วย ><
เปิดมาด้านใน แทแด้นนนนน!!!......ไม่รู้ว่าแต่ละอันมันคืออะไรบ้าง จำได้แต่อันสีชมพูที่มุมล่างซ้าย ให้ความรู้สึกเหมือนกินสบู่มาก 5555 ไม่แนวๆ แต่อันอื่นอร่อยหมดคับ
ชมวิวกันต่อ ชิสึโอกะ เป็นแหล่งปลูกชาที่มีชื่อแหล่งหนึ่งของญี่ปุ่นนะคะ มีพื้นที่ปลูกชามากกว่า 40% ของพื้นที่ปลูกชาทั้งหมดในประเทศ มากเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ไปเที่ยวชิสึโอกะอย่าลืมซื้อชาติดไม้ติดมือกันมาด้วยนะคะ ^^
พนักงานรถไฟมาเป่าเมาท์ออแกนให้ฟังกัน เกือบๆ จะขอเพลงแระ 5555
เวลา 1 ชั่วโมง 17 นาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราก็มาถึง Senzu จาก Senzu ก็นั่งรถบัสต่อไปยัง Sumatakyo onsen รถบัสมีเป็นรอบๆ เวลาจะต่อเนื่องกับเที่ยวรถไฟ และเวลาในแต่ละฤดูกาลก็จะมีแตกต่างกันออกไปบ้าง ค่ารถ 880 เยนนั่งรถบัสไปประมาณ 40 นาทีกับเส้นทางขึ้นเขา เล็กๆ แคบๆ คนขับต้องใช้ความชำนาญมาก บางช่วงเป็นเส้นทางแคบๆ และรถต้องสวนกัน โดยอีกด้านจะเป็นหน้าผาลงไป... เป็นเส้นทางที่เอมมั่นใจมากว่า ขับไม่ได้แน่นอน
นั่งหวาดเสียวกันเป็นระยะ สลับกับหลับ 555 ก็ลงป้ายสุดท้ายที่ Sumatakyo onsen ค่ะ ไปถึงแล้วเช็คเวลาขากลับที่บอกที่สถานีให้ดีด้วย จะได้กะเวลาในการเดินได้ถูก เพราะถ้าพลาดรถเที่ยวสุดท้าย อาจจะเศร้าได้ เอมว่า มีเวลา ประมาณ 2 ชั่วโมงจะกำลังดี ถ้ามีเวลามากกว่านั้น ก็สามารถที่จะออกมาแช่น้ำร้อนก่อนกลับได้ เพราะที่ Sumatakyo เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่ดังแห่งหนึ่ง น้ำแร่ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องการบำรุงผิว หรืออาจจะมาพักค้างคืนแช่ออนเซ็นกันก็ได้ค่ะ
เล่ามาตั้งนานยังพาไปไม่ถึงสะพานที่จะเดินเล่น 5555 รออีกนิดนึงนะคะ เดินอีกไม่ถึง 2 กิโลก็จะถึงแล้ว สะพานในภาพจำของเอมมีชื่อว่า Yume-no-tsuribashi หรือตามป้ายที่เขียนไว้คือ Yume-no Suspension Bridge เห็นประตูด้านหลังที่ปิดอยู่ แต่เดินเข้าไปได้เลยค่ะ จะมีช่องเล็กๆ อยู่ด้านข้าง
เดินกันเพลินๆ
สักพักจะเจออุโมงค์
พอลอดอุโมงค์ไปไม่นาน เราก็จะเจอกับสิ่งนี้ ^^ สะพานที่เราตามหา
เดินลงไปกันอีกไม่ไกลค่ะ
Yume-no Suspension Bridge เป็นสะพานแขวนยาว 90 เมตร ทอดผ่านหุบเขาที่ด้านล่างแม่น้ำที่ตอนนี้ดูเป็นสีเขียวมีเสน่ห์ (บางฤดูกาลก็จะเห็นเป็นสีฟ้าจัด) ภาพสะพานที่เอมเห็นในรูป กับที่เห็นด้วยสายตาตัวเองสวยแตกต่างกันลิบลับ...คือรูปก็สวยมากแล้ว แต่พอมาเห็นด้วยสายตาตัวเอง มันเป็นการพิสูจน์ให้เราเห็นอีกครั้งว่า “กล้องไม่สามารถเก็บความงามได้ดีไปกว่าดวงตาของเรา” ค่ะ และนี่คงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายๆ คนออกเดินทางเพื่อที่จะสัมผัสความงามเหล่านั้นด้วยตัวเอง
เค้าว่ากันว่า (เค้านี่ใครก็ไม่แน่ใจ...) ถ้าใครอธิษฐานเรื่องความรักที่ตรงกลางสะพาน จะสมหวัง.... เอิ่มมม คือ พระเจ้า... เอาความจริงเหอะ ไม่แน่ใจว่าในสายตาคนธรรมดาเป็นอย่างไร แต่ในสายตาคนกลัวความสูงอย่างเอมนั้น.... มัน น่า กลัว มาก T^T คือมันสวยนะ แต่มันน่ากลัวจริงๆ อย่าคาดหวังว่าจะหยุดอธิษฐานอะไรใดๆ แค่สะพานแกว่งนิดหน่อย หัวใจก็ลงไปอยู่ตาตุ่มแล้ว จำได้แม่นว่า ตอนเดินไปได้สัก ¾ ของสะพาน มองไปตรงหน้า เห็นชายหนุ่ม 2 คนกำลังจะเดินสวนลงมา "เห้ยยยยย!!!! ไม่ อย่านะ พวกคุณใจคอทำด้วยอะไร เราจะหลบกันอย่างไร" มองหน้าชายหนุ่ม พร้อมส่งกระแสจิตแรงๆ ไป คาดว่าเค้าจะรับรู้ได้ เลยถอยขึ้นไปรอโดยดี ขอบคุณมาก ไม่งั้นเอมคงได้ยืนร้องไห้อยู่กลางสะพาน
แต่กลัวแค่ไหน เราก็ยังกลั้นใจกดชัตเตอร์มาได้ 55555
วิวจากในรถ ... (มัวไปไหมเนี่ย?) |
นั่งหวาดเสียวกันเป็นระยะ สลับกับหลับ 555 ก็ลงป้ายสุดท้ายที่ Sumatakyo onsen ค่ะ ไปถึงแล้วเช็คเวลาขากลับที่บอกที่สถานีให้ดีด้วย จะได้กะเวลาในการเดินได้ถูก เพราะถ้าพลาดรถเที่ยวสุดท้าย อาจจะเศร้าได้ เอมว่า มีเวลา ประมาณ 2 ชั่วโมงจะกำลังดี ถ้ามีเวลามากกว่านั้น ก็สามารถที่จะออกมาแช่น้ำร้อนก่อนกลับได้ เพราะที่ Sumatakyo เป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่ดังแห่งหนึ่ง น้ำแร่ที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องการบำรุงผิว หรืออาจจะมาพักค้างคืนแช่ออนเซ็นกันก็ได้ค่ะ
วิวตรงแถวๆ ป้ายรถเมล์ |
เดินกันเพลินๆ
สักพักจะเจออุโมงค์
พอลอดอุโมงค์ไปไม่นาน เราก็จะเจอกับสิ่งนี้ ^^ สะพานที่เราตามหา
เดินลงไปกันอีกไม่ไกลค่ะ
Yume-no Suspension Bridge เป็นสะพานแขวนยาว 90 เมตร ทอดผ่านหุบเขาที่ด้านล่างแม่น้ำที่ตอนนี้ดูเป็นสีเขียวมีเสน่ห์ (บางฤดูกาลก็จะเห็นเป็นสีฟ้าจัด) ภาพสะพานที่เอมเห็นในรูป กับที่เห็นด้วยสายตาตัวเองสวยแตกต่างกันลิบลับ...คือรูปก็สวยมากแล้ว แต่พอมาเห็นด้วยสายตาตัวเอง มันเป็นการพิสูจน์ให้เราเห็นอีกครั้งว่า “กล้องไม่สามารถเก็บความงามได้ดีไปกว่าดวงตาของเรา” ค่ะ และนี่คงเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายๆ คนออกเดินทางเพื่อที่จะสัมผัสความงามเหล่านั้นด้วยตัวเอง
เค้าว่ากันว่า (เค้านี่ใครก็ไม่แน่ใจ...) ถ้าใครอธิษฐานเรื่องความรักที่ตรงกลางสะพาน จะสมหวัง.... เอิ่มมม คือ พระเจ้า... เอาความจริงเหอะ ไม่แน่ใจว่าในสายตาคนธรรมดาเป็นอย่างไร แต่ในสายตาคนกลัวความสูงอย่างเอมนั้น.... มัน น่า กลัว มาก T^T คือมันสวยนะ แต่มันน่ากลัวจริงๆ อย่าคาดหวังว่าจะหยุดอธิษฐานอะไรใดๆ แค่สะพานแกว่งนิดหน่อย หัวใจก็ลงไปอยู่ตาตุ่มแล้ว จำได้แม่นว่า ตอนเดินไปได้สัก ¾ ของสะพาน มองไปตรงหน้า เห็นชายหนุ่ม 2 คนกำลังจะเดินสวนลงมา "เห้ยยยยย!!!! ไม่ อย่านะ พวกคุณใจคอทำด้วยอะไร เราจะหลบกันอย่างไร" มองหน้าชายหนุ่ม พร้อมส่งกระแสจิตแรงๆ ไป คาดว่าเค้าจะรับรู้ได้ เลยถอยขึ้นไปรอโดยดี ขอบคุณมาก ไม่งั้นเอมคงได้ยืนร้องไห้อยู่กลางสะพาน
ทำใจก่อนจะเดินข้ามไป T^T |
มองไปทางซ้าย |
มองไปทางขวา |
เมื่อถึงอีกฝั่ง ตัดสินใจในทันทีว่า... เราจะไม่เดินย้อนทางเดิม 5555 นี่ไง ชายหนุ่ม 2 คนนั้น
"ไป!!! เพื่อนๆ เราเดินไปข้ามอีกสะพานด้านบนกลับกันเถอะ ได้เห็นวิวครบๆ ไง..." แต่อยากบอกว่า ถ้าใครคิดจะเดินไปข้ามกลับอีกสะพาน คุณควรฟิตร่างกายมาระดับนึงเช่นกัน เพราะจะเป็นทางขึ้นเขาแบบชันๆ หน่อย คือเหนื่อยแฮกจนไม่มีแรงจะคว้ากล้องมาถ่ายรูปเส้นทาง (อย่าลืมว่า เอมเพิ่งผ่านการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนมา 2 วัน และเมื่อวาน... เอมและผองเพื่อนก็เดินเที่ยวอย่างทรหดอดทน T^T) ด้านบนที่ขึ้นไปถึงจะเป็นจุดชมวิว Ozakizaka-tenbodai ตรงจุดนี้จะมีห้องน้ำและมีตู้กดน้ำ แต่ก็... ไม่ค่อยมีวิวอะไรให้ชมเท่าไรนะ ><
เดินต่อไปอีกระยะก็จะถึงสะพาน Hiryu-bashi เป็นสะพานปูน ให้เราข้ามกลับได้อย่างสบายใจ จากนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว เดินเล่นถ่ายรูปมาเรื่อยๆ คอยดูเวลาว่าไม่ให้ตกรถก็โอเคแล้วค่ะ
เดินๆ ใกล้จะวนกลับมาถึงทางออก ผ่านซุ้มโทรศัพท์ที่หน้าตาเหมือนหม้อหุงข้าวมาก เอ๊ะ...หรือเราจะหิว
"ไป!!! เพื่อนๆ เราเดินไปข้ามอีกสะพานด้านบนกลับกันเถอะ ได้เห็นวิวครบๆ ไง..." แต่อยากบอกว่า ถ้าใครคิดจะเดินไปข้ามกลับอีกสะพาน คุณควรฟิตร่างกายมาระดับนึงเช่นกัน เพราะจะเป็นทางขึ้นเขาแบบชันๆ หน่อย คือเหนื่อยแฮกจนไม่มีแรงจะคว้ากล้องมาถ่ายรูปเส้นทาง (อย่าลืมว่า เอมเพิ่งผ่านการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนมา 2 วัน และเมื่อวาน... เอมและผองเพื่อนก็เดินเที่ยวอย่างทรหดอดทน T^T) ด้านบนที่ขึ้นไปถึงจะเป็นจุดชมวิว Ozakizaka-tenbodai ตรงจุดนี้จะมีห้องน้ำและมีตู้กดน้ำ แต่ก็... ไม่ค่อยมีวิวอะไรให้ชมเท่าไรนะ ><
เดินต่อไปอีกระยะก็จะถึงสะพาน Hiryu-bashi เป็นสะพานปูน ให้เราข้ามกลับได้อย่างสบายใจ จากนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว เดินเล่นถ่ายรูปมาเรื่อยๆ คอยดูเวลาว่าไม่ให้ตกรถก็โอเคแล้วค่ะ
เดินๆ ใกล้จะวนกลับมาถึงทางออก ผ่านซุ้มโทรศัพท์ที่หน้าตาเหมือนหม้อหุงข้าวมาก เอ๊ะ...หรือเราจะหิว
เอมและผองเพื่อนใช้เวลาในการเดินไปประมาณ 90 กว่านาที กลับมาขึ้นรถบัสที่เดิม นั่งหลับไปเพลินๆ มาขึ้นรถไฟย้อนเส้นทางเดิมกลับ ถึงชิสึโอกะตอนค่ำ หิวซ่ก... และไปต่อด้วยการผจญภัยกับคุณป้าร้านโอเด้ง กับความรู้สึกที่อยากให้บุกต้มที่กินไปช่วยกลายเป็นวุ้นแปลภาษาด้วยเหอะ T^T
แถมท้ายกันด้วย ร้านอาหารในชิสึโอกะ ^^ นิดหน่อยแบบพอกรุบกริบ
ร้านแรก Highly recommend มาากกกก อร่อยมากกกก ชื่อร้าน Idaten ดูข้อมูลเพิ่มเติม พิกัดที่ตั้งได้ตาม ลิงค์ นี้ คือไปกัน 3 คน สั่งมากัน 3 เมนู อร่อยทุกเมนู กลับมาก็ยังอยากไปกินอีก ไม่เคยคิดจะชอบราเมง ก็มาชอบร้านนี้แหละคับ
ร้านที่สอง อันนี้เกิดจากผองเพื่อนอยู่ดีๆ ก็อยากกินเบียร์ เลยลองค้นหาร้านเบียร์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก เอมเองไม่กินแอลกอฮอล์ เลิกมานาน ก็ไปนั่งเล่นกินน้ำอัดลมไป พนักงานน่ารักดีค่ะ พยายามสื่อสารช่วยเราเต็มที่ ^^ เพื่อนเอมบอกว่าเบียร์ใช้ได้ ชื่อร้าน "อ้อยเบียร์" 55555 ไม่ใช่แระ "AOI Brewing" รายละเอียดเพิ่มเติม ตาม ลิงค์ นี้ไปเลยค่ะ
ร้านสุดท้าย ไม่รู้จะเรียกว่าแนะนำดีไหม คือใครต่อมิใครก็บอกกันว่า ไปชิสึโอกะ ต้องไป Oden street นะ ... พิกัดตามที่ปักหมุดไว้ใน ลิงค์ นี้ มันจะเป็นตรอกเล็กๆ ที่มีร้านโอเด้งหลายๆ ร้านอยู่รวมๆ กัน แต่ละร้านก็เป็นร้านเล็กๆ มีที่นั่งสัก 6 7 ที่นั่งในร้านติดกับเคาท์เตอร์... ร้านที่เค้าแนะนำมา วันที่เอมไปก็ดันปิดพอดี... เลยเสี่ยงลองไป 1 ร้าน... เอิ่มมม อืมมม อย่างที่บอก อยากให้มีวุ้นแปลภาษามากมาย แขกในร้านคนอื่นๆ ก็พยายามช่วยสื่อสารกันเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดคือชี้ๆ เอา แล้วค่อยลุ้นว่าจะเป็นอะไร 5555 โอเด้งที่นี่จะน้ำสีดำๆ หน่อย สำหรับเอม เอมว่าเค็มไปนิด แล้วก็จะมีพวกของทอด เป็นร้านที่เหมาะสำหรับนั่งกินเล่นๆ เป็นกับแกล้มพร้อมกับดื่มเบียร์ และเมาท์มอยกับเจ้าของร้าน ดังนั้นใครอยากมากินเอาอิ่มเอมไม่ค่อยแนะนำคับ แต่มากินเอาบรรยากาศนิดๆ หน่อยๆ นี่ โอเลย
รีวิวย้อนอดีตคราวนี้ ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ค่ะ ^^ ไว้คราวหน้าจะย้อนอดีต หรือเล่าปัจจุบัน ไว้ลุ้นกันนะคะ
ร้านแรก Highly recommend มาากกกก อร่อยมากกกก ชื่อร้าน Idaten ดูข้อมูลเพิ่มเติม พิกัดที่ตั้งได้ตาม ลิงค์ นี้ คือไปกัน 3 คน สั่งมากัน 3 เมนู อร่อยทุกเมนู กลับมาก็ยังอยากไปกินอีก ไม่เคยคิดจะชอบราเมง ก็มาชอบร้านนี้แหละคับ
หน้าร้านเป็นแบบนี้ |
อร่อยทุกอย่างเลย >< |
เมนูเบียร์ |
ซ้าย ขวา มีร้านให้เลือกหลายร้าน |
รีวิวย้อนอดีตคราวนี้ ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ค่ะ ^^ ไว้คราวหน้าจะย้อนอดีต หรือเล่าปัจจุบัน ไว้ลุ้นกันนะคะ