วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ชมพระราชวังเดิม ย้อนรอยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

วันนี้อยากที่จะชวนทุกคนไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งบอกตรงๆ ว่า เอมก็เพิ่งรู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้ก็ตอนโตแล้ว ตอนเด็กๆ ที่เรียนประวัติศาสตร์ชาติไทยกันมา ก็ไม่เคยมีเนื้อหาที่บอกว่าตอนที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี มีพระราชวังอยู่ตรงไหน รู้จักก็แต่พระบรมมหาราชวังซึ่งก็เป็นสมัยรัตนโกสินทร์แล้ว ยังคิดว่าหรือจะไม่มีหลักฐานอะไรเหลืออยู่แล้วหรือเปล่านะก็เลยไม่เคยมีใครพูดถึง

จนกระทั่งโต (จนเริ่มแก่) อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากขึ้น ก็เจอชื่อ "พระราชวังเดิม" ก็สนใจ อยากไปชม แต่ก็รู้มาว่าอยู่ในเขตของทหารเรือและปกติไม่ได้เปิดให้เข้าชม ก็เฝ้ารอโอกาสว่าเมื่อไรจะมีเปิดให้เข้าชม และแล้วโอกาสอันดีก็มาถึง ^^

ก่อนจะไปเที่ยว ก็ขอเล่าที่มานิดนึงนะคะ เหตุเกิดจากเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไปรษณีย์ได้ออกแสตมป์ชุดใหม่ ชุด  250 ปี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 


หลายคนอาจจะงงๆ ว่า อ้าวแล้วทำไมไม่ออกแสตมป์วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ตรงกับวันที่ 28 ธันวาคม จริงๆ แล้วมันมีความต่างกันเล็กน้อย วันที่ 28 ธันวาคม 2310 เป็นวันที่พระองค์ท่านปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย คือวันที่ 6 พฤศจิกายน 2310 เป็นวันที่พระองค์ท่านกอบกู้อิสรภาพคืนได้สำเร็จ ซึ่งแสตมป์ที่ออกครั้งนี้ ต้องการที่จะระลึกถึง 250 ปี แห่งการกอบกู้อิสรภาพ จึงเลือกที่ออกมาในช่วงวันที่พระองค์กอบกู้อิสรภาพ โดยภาพที่ใช้ จะเป็นภาพพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงม้าออกศึก ที่ประดิษฐานอยู่ที่สวนสาธารณะทุ่งนาเชย อ.เมือง จ.จันทบุรี อนุสาวรีย์นี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเสด็จฯ เปิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2524 ค่ะ 
** มีเกร็ดเล็กน้อย คืออนุสาวรีย์แห่งนี้ จะหันหน้าไปทางที่ตั้งของ จ.อยุธยา เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่าจะเข้าไปกอบกู้อิสรภาพ ในขณะที่อนุสาวรีย์ท่านที่วงเวียนใหญ่จะหันไปทางจันทบุรีค่ะ **

จากที่ไปรษณีย์ออกแสตมป์ดวงนี้ ก็มีการจัดแสตมป์เสวนาขึ้น ในหัวข้อ เปิดตำนานพระราชวังเดิม โดยเชิญ พลเรือเอกประเจตน์ ศิริเดช อดีต ผบ.ทร. และ พญ.คุณหญิงนงนุช ศิริเดช อดีตนายกสมาคมภริยาทหารเรือ มาเล่าเรื่องราวเบื้องหลังการบูรณะพระราชวังเดิมให้ฟังกัน และจากงานนี้เราก็ได้ข้อมูลว่า ไปรษณีย์จะมีจัดทริปแสตมป์พาเที่ยว เพื่อพาไปชมพระราชวังเดิม เย้ๆๆๆ


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีโฆษณามาทางไลน์ stamp in love และในเพจ Thai Stamp Museum ก็เลยสมัครไปเลยค่ะ ค่าใช้จ่ายคนละ 499 บาท ไม่รวมค่าข้าวเที่ยง นอกเหนือจากไปชมพระราชวังเดิมแล้ว ก็มีไปวัดอีก 2 วัด ที่มีความเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชค่ะ คือวัดบางเดื่อ และวัดอินทาราม
** ทริปแบบนี้ ไปรษณีย์ไม่ได้จัดประจำค่ะ เห็นว่าปีนี้เพิ่งมีเป็นครั้งที่ 2 ต้องคอยติดตามข่าวคราวจากทางเพจเรื่อยๆ **

วันเดินทาง เราเริ่มต้นกันที่นี่ค่ะ ไปรษณีย์สามเสนใน 


ไปกับรถบัสของไปรษณีย์... คันนี้...



ในราคา 499 นอกจากค่าทริป ค่าอาหารเช้า (ข้าวเหนียว + หมูฝอย) และขนมบ่ายแล้ว เรายังได้ของที่ระทึกเล็กน้อยค่ะ



โปสการ์ดพระเจ้าตาก (ขออนุญาตเรียกสั้นๆ นะคะ) จะมีแสตมป์ติดมาให้ด้วยค่ะ ใช้ส่งได้เลย

คนครบ ก็ออกเดินทางไปที่วัดบางเดื่อกันก่อนเลยค่ะ วัดบางเดื่อจะอยู่ที่ อ บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เล่ากันว่าเป็นวัดที่พระเจ้าตากใช้เป็นที่วางแผนเข้าตีค่ายโพธิ์สามต้น ที่อยู่ห่างจากวัดไปประมาณ 10 กิโลเมตร สิ่งก่อสร้างในวัดนี้ไม่ใช่ของเดิมสมัยกรุงธนบุรีนะคะ 


มีป้าๆ มาทำขนมครกตอนรับด้วย อร่อยมาก ><




ที่อุโบสถบริเวณหน้าบัน จะมีตราแผ่นดินหรือตราอาร์มอยู่ด้วยค่ะ จึงสันนิษฐานว่าอุโบสถนี้น่าจะสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5


ที่วัดนี้มีสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมด้วยนะคะ สามารถมาได้เสาร์อาทิตย์ ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ เท่าที่เอมเห็นก็ดูสงบดีนะคะ ติดริมน้ำด้วย

จากวัดบางเดื่อเราก็ไปหาอะไรกินกันที่ตลาดน้ำอโยธยาค่ะ แต่เดินตลาดน้ำแบบนี้ ไม่ค่อยแนวเอมเท่าไร เลยกินอะไรนิดหน่อยแล้วไปเดินเล่นบริเวณใกล้ๆ แทน เห็นเจดีย์เก่าๆ อยู่ไม่ไกล อ่านที่ป้าย เรียกตรงนี้ว่าวัดช้างค่ะ อยู่ไม่ไกลจากวัดมเหยงค์ สามารถเดินถึงกันได้ 

ช้างที่มาประกอบฉาก เดินรับนักท่องเที่ยวมาจากที่ตลาดน้ำค่ะ ไม่ทันดูว่าราคาเท่าไรเหมือนกัน

ด้านในตลาดน้ำ เสาร์อาทิตย์ เห็นว่ามีโชว์ของสำนักดาบพุทไธสวรรย์รอบเที่ยง แต่เวลาไม่พอดีกับที่ต้องกลับมาขึ้นรถ เลยอดชมไป ... เสียดายจัง

ต่อจากตลาดน้ำ ก็ตีรถยาวมาถึงพระราชวังเดิมค่ะ ก็เล่นเกมซ่อนตาดำกันมาในรถ พระราชวังเดิมจะอยู่ในเขตของกองทัพเรือค่ะ ติดกับวัดอรุณฯ ไม่ได้เปิดให้เข้าชมโดยทั่วไปค่ะ ต้องมีทำเรื่องมาเพื่อขอเข้าชมเป็นหมู่คณะ แต่ในวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะเปิดให้เข้าชมฟรีนะคะ เห็นทางมูลนิธิโบราณสถานพระราชวังเดิมซึ่งเป็นผู้ดูแลพระราชวัง แจ้งว่า จะมีประกาศประชาสัมพันธ์อีกครั้งผ่านทางวิทยุของกองทัพเรือ และหนังสือพิมพ์ค่ะ


จากด้านหน้าพอเดินเข้ามา มองไปทางซ้าย ก็จะเห็นพระปรางค์วัดอรุณฯ ค่ะ


เดินมาจนถึงริมน้ำ เลี้ยวขวาแล้วก็เลี้ยวขวาเข้าประตูไปในเขตพระราชวังค่ะ แต่ถ้าเดินเลียบริมน้ำไป ก็จะไปถึงป้อมวิไชยประสิทธิ์ค่ะ (หรืออาจเรียกอีกชื่อว่าป้อมวิไชยเยนทร์) ซึ่งป้อมนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตั้งตามชื่อของพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) จริงๆ ฝั่งตรงข้ามบริเวณโรงเรียนราชินีก็เคยมีป้อมที่คู่กันอยู่ค่ะ แต่รื้อออกไปตั้งแต่สมัยพระเพทราชา 

มองเห็นป้อมตรงจุดที่มีธง

เสียดายมากว่าไม่มีโอกาสได้ไปชมที่ป้อมค่ะ เนื่องจากเวลาจำกัดมากจึงทำให้ได้ชมด้านในแค่ไม่กี่ส่วน T^T แอบเสียดาย กะว่าวันที่ 28 ธันวา เราจะมาชมใหม่ให้ครบทุกส่วนให้ได้ค่ะ

ภายในเขตพระราชวังเดิม ในส่วนของที่เป็นด้านในอาคารเกือบทั้งหมดจะห้ามถ่ายรูปนะคะ ซึ่งทางมูลนิธิฯ ก็ให้ข้อมูลว่า สิ่งก่อสร้างโดยส่วนใหญ่ที่เราเห็นอยู่นี้ จะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาภายหลังค่ะ โดยหลังจากที่ย้ายราชธานีไปฝั่งกรุงเทพ ที่พระราชวังเดิมก็เป็นที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์ โดยที่แห่งนี้เป็นที่ประสูติของพระมหากษัตริย์ 3 พระองค์ด้วยกันคือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี 2443 ก็ได้พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ ต่อมาโรงเรียนนายเรือก็ย้ายไปที่อื่น พื้นที่ตรงพระราชวังเดิมก็ถูกใช้ในราชการของกองทัพเรือมาโดยตลอด ก่อนที่จะมีการบูรณะซ่อมแซมครั้งใหญ่ตั้งแต่ช่วงปี 2538 ซึ่งใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งตอนที่ซ่อมแซมเสร็จ ก็มีการออกแสตมป์มาชุดหนึ่งด้วย คือชุดพระราชวังเดิม เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 เป็นหนึ่งในชุดอนุรักษ์มรดกไทย ซึ่งจะออกในวันอนุรักษ์มรดกไทยของทุกปี 


พอเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่ก็จะให้เราเข้าไปตรงเรือนเขียวค่ะ เป็นเรือนไม้ สร้างสมัยก่อตั้งโรงเรียนนายเรือเพื่อใช้เป็นอาคารพยาบาลค่ะ


ฟังบรรยายเกี่ยวกับประวัติของพระราชวังเดิมเสร็จแล้ว เราก็เดินไปบริเวณตำหนักเก๋งคู่ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมไทย สร้างในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ จะมีตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่ และตำหนักเก๋งคู่หลังเล็ก โดยหลังใหญ่ จะจัดแสดงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าตาก สินค้าส่งออก การค้าขายสมัยกรุงธนบุรี ส่วนหลังเล็ก จะจัดแสดงเกี่ยวกับการรบ อาวุธ ซึ่งของที่จัดแสดงทั้งหมด ไม่ได้เป็นของสมัยพระเจ้าตากนะคะ 

ซ้ายมือเป็นหลังเล็ก ขวามือเป็นหลังใหญ่ค่ะ
ถัดจากที่ตำหนักเก๋งคู่ เราก็ไปกันที่ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชค่ะ หลังปัจจุบันนี้สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์เสด็จมาประทับที่นี่ 



ระหว่างศาลพระเจ้าตาก กับพระตำหนักเก๋งคู่ จะมีศาลเล็กๆ เรียกว่า ศาลศีรษะปลาวาฬ ซึ่งมีกระดูกส่วนหัวกะโหลกและขากรรไกรทั้ง 2 ข้างของวาฬบรูด้าตั้งอยู่ โดยกระดูกนี้ขุดพบจากใต้ถุนศาลพระเจ้าตาก และศาลศีรษะปลาวาฬนี้สร้างขึ้นใหม่บนฐานของศาลหลังเดิมตามร่องรอยที่ขุดค้นพบ 


จากตรงจุดนี้ เราก็ไปตรงส่วนของท้องพระโรงกรุงธนบุรี จริงๆ แต่ละส่วนคืออยู่ติดๆ กันเลยค่ะ แทบไม่ต้องเดินเลย


อาคารท้องพระโรงนี้ เป็นอาคารเดียวที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีค่ะ สร้างขึ้นราวปี 2311 มีลักษณะเป็นพระที่นั่ง 2 องค์เชื่อมต่อกันลักษณะเป็นตัว T โดยส่วนที่เป็นแนวขวางของตัว T จะเป็นพระที่นั่งองค์ทิศใต้ หรือเรียกกันว่าพระที่นั่งขวาง เป็นส่วนที่ประทับส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ส่วนพระที่นั่งองค์ทิศเหนือ เรียกว่าท้องพระโรง ใช้เป็นที่เสด็จออกขุนนางและประกอบพิธีสำคัญๆ ปัจจุบันในส่วนอาคารท้องพระโรงทางกองทัพเรือก็ยังใช้ในกิจการสำคัญๆ ค่ะ 

ส่วนของท้องพระโรง
พระที่นั่งองค์ทิศใต้จากอีกด้านหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีตำหนักเก๋งสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวค่ะ ซึ่ง... เราไม่ได้ไปชมเนื่องจากปิดปรับปรุงอยู่ค่ะ T^T 

เดินกลับออกมาบริเวณริมน้ำ จะมีอนุสาวรีย์พระเจ้าตากประดิษฐานอยู่นะคะ ระหว่างที่ยืนตรงนี้เอมเห็นมีเรือนำเที่ยวของจีนพามาหยุดตรงจุดนี้หลายลำเลย


ออกจากที่พระราชวังเดิม เราก็ไปยังที่สุดท้ายกันค่ะ คือที่วัดอินทาราม วัดนี้เป็นวัดเก่า มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการชะลอพระประธาน หรือพระพุทธชินวร มาจากสุโขทัย หลวงพ่อเล่าว่าวัดนี้เป็นวัดที่พระเจ้าตากมาทรงศึกษาพระไตรปิฎก มีวิหารพระไตรปิฎกที่มีพระธรรมเป็นพระประธาน 


วัดนี้เป็นวัดที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระเจ้าตาก นอกเหนือจากที่เป็นวัดที่ทรงมาศึกษาพระไตรปิฏกแล้ว ยังเป็นวัดที่เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพ และบรรจุพระบรมอัฐิ

จารึกที่เห็น หลวงพ่อบอกว่าเป็นตำรายาค่ะ


ด้านในของพระวิหารพระเจ้าตาก มีพระแทนที่บรรทมไสยาสน์ของพระเจ้าตากซึ่งเป็นไม้ประดับด้วยงาช้าง



ที่วัดมีพระอุโบสถหลังเก่า ซึ่งมีพระประธานด้านใน 25 องค์ หลวงพ่อเล่าว่า โบสถ์นี้เป็นโบสถ์มหาอุตม์ เดิมจะมีประตูเข้าออกแค่ทางเดียว เหมาะที่จะใช้ในการทำพิธีปลุกเสกต่างๆ ด้านหน้าจะมีเจดีย์อยู่ 2 องค์ โดยเล่ากันว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิของพระเจ้าตาก และพระมเหสีของพระองค์ค่ะ



สำหรับทริปแสตมป์พาเที่ยวของไปรษณีย์ ก็สิ้นสุดเรียบร้อยค่ะ เอมว่าโดยรวมแล้วจัดได้ดีเลยนะคะ เสียดายตรงส่วนที่เข้าชมพระราชวังเดิมที่ได้เวลาค่อนข้างน้อย (มาก) เพราะเสียเวลากับการเดินทางไปเยอะ ถ้าตัดโปรแกรมบางส่วนออก แล้วมาเพิ่มในส่วนของการเข้าชมพระราชวังเดิมให้มากขึ้นจะดีมากเลยค่ะ เพราะเป็นสถานที่ที่ไม่สามารถเข้าชมได้บ่อยๆ เหมือนที่อื่นๆ 
อย่างไรก็ดี วันที่ 28 ธันวาคม นี้ที่ทางกองทัพเรือจะเปิดให้เข้าชม คงจะได้หาเวลาไปชมอีกครั้งหนึ่งค่ะ

เจอกันใหม่โพสต์หน้านะคะ ^^


วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ชวนมาชอปปิ้งเครื่องเขียนกันพอกรุบกริบในไทเป ^^ แถมร้านข้าวอร่อยๆ บ้านๆ อีก 1 ร้าน

หลายคนที่ไม่ใช่สายความสวยความงาม ไปไต้หวันแล้วก็อาจจะนึกไม่ออกว่า... เราจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน หรือเอาไปเป็นของฝากได้บ้าง วันนี้ ... ขอแนะนำ ร้านที่จะฆ่าเวลาในไต้หวันให้หมดไปได้อย่างรวดเร็ว และหลายชั่วโมง (สำหรับคนแบบเอม) นั่นคือ!!!! ร้านเครื่องเขียน นั่นเอง เอง เอง เอง เอง เอง

วันนี้เลยขอมาแนะนำพิกัดร้านเครื่องเขียนที่เอมไปมา 2 ร้านในทริปนี้ กับของอื่นๆ กันอีกเล็กน้อย เผื่อถ้าใครผ่านไปโซนนั้น แล้วอยากได้ ปากกา สมุดบันทึก post-it ฯลฯ น่ารักๆ ติดมือกลับมาใช้เอง หรือไว้เป็นของฝากแบบราคาย่อมเยาว์ ก็จะได้ขนกลับมากันได้

ร้านแรกที่จะแนะนำ อยู่ย่านที่ทุกคนที่มาไทเปน่าจะต้องมา คือย่าน Ximending ร้านนี้หลายๆ คนอาจจะเคยมา เพราะอยู่ทำเลที่หาง่ายมากๆ


จากทางออก 6 ของสถานี mrt Ximen ออกมาแล้วเดินไปที่ตึกทางขวามือที่เป็นหัวมุมถนน มองหาร้านไอติม Cold stone ทางเข้าร้านจะเป็นทางเดินลงไปชั้นใต้ดิน เป็นทางเดินเล็กๆ ค่ะ


ร้านเปิด 10.00 - 23.00 น. นะคะ ไปเที่ยวไปชอปที่อื่นกลับมา ก็ยังสามารถมาซื้อของที่นี่กันต่อได้ ทางเข้าร้านจะมี 2 ด้านค่ะ อีกฝั่งนึงจะเดินเลยมุมตึกไป ก็จะเห็นทางเดินลงด้านล่างเหมือนกัน



สภาพรวมๆ ภายในร้าน








พื้นที่ร้านไม่ได้เยอะมาก แต่ข้าวของอัดแน่นเลยค่ะ เอมถ่ายรูปในร้านมานิดหน่อย เพราะคนค่อนข้างเยอะ แล้วก็ไม่ว่าจะซื้อเยอะ ซื้อน้อยขนาดไหน ถ้าใช้ถุงของที่ร้าน คิด 2 NT (ค่าเงินใกล้เคียงกับเงินไทยมาก คิดหยวนๆ ว่า 2 บาทได้ค่ะ) หรือถ้าอยากได้ถุงแบบมีสไตล์... เห็นที่ร้านมีถุงแบบนี้ขายด้วย ><


หน้าตาแบบว่าคุ้นเคย... 55555

สำหรับอีกร้านที่เอมไปซื้อเครื่องเขียน อันนี้ เอมจำพิกัดแบบแน่นอนไม่ได้ แถมลืมถ่ายรูปมาอีกต่างหาก แต่ร้านจะอยู่ระหว่าง mrt CSK memorial hall กับพิพิธภัณฑ์ไปรษณีย์ของไต้หวัน พิกัดคร่าวๆ คือตรงที่เป็นเส้นประเดินนะคะ มองเข้าไปในร้านจะเป็นร้านหนังสือค่ะ สำหรับเครื่องเขียน ให้เข้าไป แล้วลงไปชั้นใต้ดิน จะมีโซนเครื่องเขียน โซนใหญ่เลย... ชอปกันได้ตามอัธยาศัย


สำหรับอันที่วงกลมสีแดงๆ ไว้ อันนั้นเป็นร้านอร่อยใกล้ๆ ค่ะ เผื่อไปแถวนั้นแล้วหิว อยากหาอะไรอร่อยๆ ราคาไม่แพงกิน
หน้าตาด้านหน้าร้านเป็นแบบนี้ค่ะ ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.00 - 1.00 น. นะคะ (แปดโมงเช้าถึงตีหนึ่ง)


ในการสั่ง อาจจะต้องใช้ความสามารถในการจับคู่ตัวอักษรจีนในเมนู และในใบสั่งเล็กน้อยค่ะ ตัวเลขที่เห็นอยู่ด้านหลัง คือราคานะคะ


แล้วเราก็ได้กินอย่างที่ต้องการ หุหุหุ หมูนุ่มมากกกกก อร่อยยยยย เพื่อความฟินในการกินกรุณาลืมๆ เรื่องปริมาณไขมันระหว่างที่มันหมูนุ่มๆ กำลังละลายในปากนะคะ >< หน่อไม้ก็อร่อยค่ะ ควรค่าแก่การสั่งเช่นกัน ส่วนอีกถ้วยเพื่อนเอมสั่ง เอมว่าเฉยๆ ไปหน่อย สู้หมูเป็นชิ้นๆ ของเอมไม่ได้


อิ่มท้องแล้วววว เรากลับมาเรื่องเครื่องเขียนกันต่อค่ะ สำหรับสิ่งที่เอมซื้อมา มีดังนี้ (เอมเป็นประเภทชอบสมุดค่ะ นี่ก็พยายามหักห้ามใจ เอาที่อยากได้จริงๆ เพราะที่กองอยู่ที่บ้านรอใช้งานก็มีอีกจำนวนไม่น้อย)

อันที่ 1 สมุดบันทึกเล่มน้อยๆ
สำหรับราคา ถ้ามีป้าย และมีตัวเลข 2 ชุด (45 กับ 36 อย่างในรูป) ราคาขายจะเป็นตัวหลังนะคะ อย่างอันนี้ก็ 36 NT

ด้านในเป็นแบบนี้

อันที่ 2 อันนี้ เหมือนจะ 20 กว่า NT นะ
ด้านในของอันที่ 2 เส้นเป็นสีชมพูด้วย

อันที่ 3 ก็ยังเป็นแบบเล่มเล็กๆ อยู่ อันนี้ก็ 20 NT นิดๆ 
แต่ด้านในเป็นสีน้ำตาล และไม่มีเส้น 

อันที่ 4 อันนี้น่าร้ากกกก เป็นสมุด schedule ลดราคาเหลือเล่มละ 119 NT มีหูแมวด้วยด้านบน ><

ด้านในจะมีรูปแมวมุ้งมิ้งเต็มไปหมด แถมมีที่คั่นหน้าเป็นแมวตัวยาวๆ ด้วยนะ ... จะกล้าใช้มั้ยเนี่ย น่ารักเกิน ... 5555 ปกติใช้แต่ของ Muji ด้วยความที่มันเรียบมาก ก็จะใช้ได้สบายใจไปไปอีกแบบ

อันที่ 5 ก็ยังเวียนว่ายอยู่กับสมุดบันทึก อันนี้ก็ 96 NT
เอมจะชอบแบบเส้นเป็นตารางๆ เล่มนี้เส้นข้างในก็เป็นตารางเหมือนกันค่ะ แต่มีพิเศษตรงที่ปกด้านหลัง จากเป็นช่องซิปสำหรับใส่ของจุ๊กจิ๊กได้ เหมาะสำหรับเวลาไปเที่ยว เอาไว้ใส่ใบเสร็จ บัตรเข้าพิพิธภัณฑ์ สำหรับคนที่ชอบเก็บหรือจดบันทึก อะไรแบบนี้ ^^

อันที่ 6 อันนี้อาจจะดูธรรมดาๆ เป็นเหมือนสมุดจดเล่มเล็กๆ ขนาด A5 ราคา 20 กว่าๆ NT
แต่ด้านใน (ไม่รู้จะมองเห็นกันไหม) ตรงที่เป็นเส้นบรรทัด จะไม่ใช่เป็นการพิมพ์ปกติค่ะ จะเป็นการพิมพ์นูน เก๋ดี ชอบๆ

อันที่ 7 อันนี้จะเป็นสมุดบันทึกแบบปกผ้า ราคา 129 NT แบบนี้ ปกผ้านี้ ถ้าเขียนด้านไหนหมดแล้ว สามารถที่จะถอดออกเอาไปเป็นปกหนังสืออื่นๆ ได้ต่อด้วย อันที่เอมซื้ออันนี้จะแบบฟิกซ์ขนาดเล่ม คือ A5 แต่ก่อนหน้านี้เคยซื้ออีกรุ่นหนึ่งจากไต้หวันเหมือนกัน อันนั้นจะเป็นแบบที่ปกสามารถที่จะปรับได้อีกนิดหน่อย ถ้าเจอสมุดที่เล่มกว้าง หรือแคบกว่าปกติ ก็พอที่จะปรับใส่กันได้

 ด้านใน เป็นลายตารางอีกแล้วจ้าาา 5555 แล้วก็มีริบบิ้นสำหรับคั่นหน้าให้ด้วย

หมดจากสมุดแระ มาดูอย่างอื่นกันบ้าง
อันที่ 8 กระดาษโน้ต น่ารักน่าเอ็นดู จริงๆ ในร้านเครื่องเขียนเนี่ย ถ้าใครชอบไข่ขี้เกียจ ท่านสามารถที่จะหมดตัวได้ง่ายๆ มีของลายไข่ขี้เกียจน่ารักๆ เยอะมากๆๆๆๆ จริงๆ

อันที่ 9 ปากกาแมวเหมียว หัวกดเป็นแมวเหมียว ซื้อกลับมาแจกใครต่อมิใคร 5555 ราคาด้ามละ 23 NT (มั้งงง) เวลาจะใช้ก็กดตรงตัวแมวข้างบน จริงๆ ตัวแมวมีหลายสี แต่แจกไปหมดแล้ว เหลือไว้ 2 สีนี่แหละ


อันที่ 10 Pilot V Pen เอมเป็นคนชอบปากกาคอแร้ง แต่.. เป็นคนที่ทำปากกาหายประจำ ทั้งทำหายเอง และโดนใครต่อมิใครยึดไปทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว เลยอยากซื้อแบบอันที่ราคาไม่แรงมาก ลองเขียนอันนี้ ก็โอเคดีนะ ของ pilot ด้ามละ 60 NT กว่าๆ สงสัยอยู่อย่างว่ามันเขียนว่า erasable แต่พยายามหารีวิวก็ยังไม่เจอใครบอกได้ว่า แล้วมันจะลบยังไง
 หัวเป็นแบบนี้ครับ

อันที่ 11 ของ Pilot อีกเช่นกัน Pilot fude-makase อันนี้หัวจะคล้ายๆ ผู้กัน แต่อันเล็กๆ หมึกมีหลายสีด้วย ใครวาดรูปเก่งๆ ใช้อันนี้น่าจะสนุก ราคาประมาณ 60 NT
 หัวปากกาเป็นแบบนี้

อันที่ 12 อันสุดท้ายแล้ว... คือจริงๆ ก็ซื้อมาเยอะกว่านี้อ่ะนะ แต่ก็ให้ใครต่อมิใครไปเรียบร้อย ไว้คราวหน้า จะเอามาถ่ายรูปไว้ก่อนแจกจ่ายไปให้เพื่อนๆ นะคะ T^T สำหรับอย่างสุดท้ายนี่เป็นเครื่องเขียนอีกอย่างที่เอมพกติดกระเป๋าเครื่องเขียนเสมอ นั่นคือ ปากกาไฮไลท์...

ท่านเคยประสบปัญหา ระหว่างกำลังขีดไฮไลท์ แล้วพลาดทำให้เส้นเลอะเทอะข้ามไปบรรทัดอื่นหรือไม่
หรือ ท่านเคยประสบปัญหา ป้ายไฮไลท์ไป แล้วพบว่า... มันยังไม่ใช่ใจความสำคัญที่เราต้องการเน้นหรือไม่

ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไป เมื่อท่านได้พบกับ... ปากกาไฮไลท์ ลบได้ ได้ ได้ ได้ ได้.....

5555555 เวอร์ไปมั้ย

ก่อนหน้านี้ เอมเคยใช้ไฮไลท์แบบลบได้ของ Pilot frixion อยู่นะคะ แต่อันนี้จะใช้การลบคนละแบบกับของ pilot เพราะของ pilot จะเป็นการลบแบบเดียวกับปากกาลบได้ค่ะ ที่ใช้ความร้อนจากการถูที่ทำให้หมึกหายไป แต่ของ Tempo อันนี้จะเป็นหัวอีกด้านที่มีคุณสมบัติในการลบ ยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องกระบวนการในการทำงาน ไว้ถ้าทราบเมื่อไร จะมาบอกเล่าให้ฟังกันนะคะ ราคาอันนี้ไม่แพงเลยค่ะ 10 กว่า NT เอง เท่าที่ใช้งานมา ก็พอใจในระดับหนึ่งนะคะ จริงๆ ซื้อมาหลายสี แต่ก็ให้คนอื่นไปแล้วเช่นกันค่ะ

 ฝั่งที่เป็นไฮไลท์
 อีกฝั่ง สำหรับลบ อันนี้ เอมตั้งใจลบไม่หมดด้วยค่ะ

นอกเหนือจากบรรดาเครื่องเขียนแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราจะพบได้ในร้านเครื่องเขียนคือ postcard น่ารักๆ ค่ะ ราคาก็ไม่แรงด้วย อย่างตรงส่วนนี้ ใบละประมาณ 13 NT


ส่วนอันนี้จะแบบมีกาแฟดริปอยู่ด้านใน อันละ 60 NT ค่ะ มีลายสวยๆ ให้เลือกเยอะเลย อันนี้เอมไปขอให้ ปณ ที่ใน CSK Memorial hall ช่วยประทับให้ ตอนแรกเค้าก็งง ก็บอกเค้าว่าไม่อยากส่งจริงๆ กลัวตอนได้รับกาแฟมันจะดริปมาให้เราเรียบร้อย 55555 เพราะอยากเก็บสภาพดีๆ ก็เลยซื้อแสตมป์ให้เค้าประทับวันให้เฉยๆ เจ้าหน้าที่เค้าก็ทำให้ค่ะ ตั้งใจประทับให้อย่างสวยเลย ^^


นอกเหนือจากการซื้อเครื่องเขียนแล้ว อีกอย่างที่ไม่ควรพลาดหากไปไต้หวันคือ จิ๊กซอว์ค่ะ ....

จิ๊กซอว์ยี่ห้อ Pintoo

>< อันนี้เป็นความชอบเฉพาะของบ้านเอม จากที่มาคราวก่อนแล้วเจอร้านโดยบังเอิญ และมีรูปสวยๆ เยอะมาก ทั้งที่เป็นภาพเขียนของแวนโก๊ะ (ขอออกเสียงแบบไทยๆ นะคะ) หรือภาพ the kiss ของ Klimt และอื่นๆ อีกมากมาย เอมบ้าเก็บงานของ Klimt ค่ะ เดินเข้าร้านนี้ตอนแรก ก็จากเห็นงาน Klimt นี่แหละ จิ๊กซอว์ในร้าน จะมีตั้งแต่แบบไม่กี่ชิ้น ไปจนถึง 4000 ชิ้น แบบ 2 มิติธรรมดา และแบบ 3 มิติ เป็นลูกกลมๆ เป็นแจกัน เป็นปกสมุด ฯลฯ ชวนให้เสียตังค์มากๆ

ข้อดี - จิ๊กซอว์ยี่ห้อนี้ เป็นพลาสติกค่ะ ต่อแบบลงล็อคกันพอดี เรียบร้อยแล้วไม่ต้องทากาวเลย แล้วก็ไม่เป็นฝุ่นๆ ผงๆ จากกระดาษ เหมือนจิ๊กซอว์ที่ทำจากกระดาษค่ะ
ข้อควรระวัง - จิ๊กซอว์ มัน หนักค่ะ และกินพื้นที่ในกระเป๋าเดินทาง ถ้าคิดจะซื้อกลับ ต้องเผื่อพื้นที่ในกระเป๋าเดินทาง พร้อมด้วยน้ำหนักโหลดด้วยนะคะ
ราคาจิ๊กซอว์ยี่ห้อนี้ อาจดูค่อนข้างแพงนะคะ แต่เอมว่าราคาเหมาะสมกับคุณภาพค่ะ
เข้าไปดูแบบ และราคาจากเว็ปเค้าได้นะคะ http://www.pintoo.com/index.php สำหรับพิกัดร้าน มีกระจายๆ อยู่หลายที่เลยค่ะ รอบนี้เอมไปซื้อที่ร้านแถวๆ ตลาดกลางคืน Shilin ค่ะ

(โฆษณาประหนึ่งได้ค่านายหน้า... แต่ได้มั้ยยยย หึหึหึ ได้เสียตังค์อย่างเดียวอ่ะจิ T^T ขนาดซื้อไปหลายพัน ยังไม่มีอะไรแถมให้แม้แต่น้อย ... นอกจากรอยยิ้มหวานๆ 55555)

แบบที่ 1 ขนาด 2000 ชิ้น ราคา 2000 NT นิดๆ อันนี้เป็นภาพที่เพิ่งออกมาไม่นาน เป็นภาพพาโนรามา บางคนเห็นภาพแล้วอาจจะคุ้นๆ เพราะเป็นภาพคล้ายๆ กับบัตรเข้า National Palace Museum ที่ไต้หวันนี่แหละ แต่ต่างตรงอันนั้นเป็นคน แต่อันนี้เป็นหมีเน้อออออ

แบบที่ 2 อันนี้ดูเหมือนเป็นภาพ Starry Night ธรรมดาๆ จำนวนไม่เยอะด้วย 80 ชิ้น แต่ความไม่ธรรมดามันคือ... มันเป็นจิ๊กซอว์แบบมี 2 ด้านจ้าาาา ภาพก็สีโทนๆ เดียวกันด้วย ต่อไป ก็ต้องคิดเอาเองว่า อันนี้มันจะอยู่ด้านไหน ราคาประมาณ 500 กว่าๆ NT


แบบที่ 3 อันนี้แบบจิ๊กซอว์ชิ้นเล็ก 253 ชิ้น ราคาประมาณ 600 บาท มีขาตั้งให้ด้วย

แบบที่ 4 แบบจิ๊กซอว์ชิ้นเล็กเหมือนกัน 150 ชิ้น ราคาประมาณ 400 NT มีขาตั้งให้มาด้วย ซื้อมาเป็นของฝาก

แบบที่ 5 อันนี้อยากได้มากด้วยความเป็นคนที่ชอบลูกโลก แต่ก็... ยังไม่ได้ต่อเลย เพราะไม่รู้ต่อเสร็จแล้วจะเอาไปวางตรงไหนในบ้าน 5555 อันนี้เป็นแบบ 240 ชิ้น ราคาประมาณ 1300NT ต่อเสร็จก็จะเป็นลูกโลกกลมๆ เหมือนในแบบเลย หมุนๆ ได้

แบบที่ 6 ลูกโลกอันน้อย อันนี้ซื้อมาให้เป็นของฝาก ราคาประมาณ 150NT ต่อเสร็จแล้วก็เป็นพวงกุญแจอันน้อยๆ น่ารัก

แบบที่ 7 เหมาะสำหรับคนที่ไปที่ไหนแล้วชอบเก็บ magnet เป็นที่ระลึก อันนี้เป็น จิ๊กซอว์ พร้อมด้วย magnet ราคาเหมือนจะประมาณ 100 NT กว่าๆ นะ
สภาพกล่องแอบเยินเล็กน้อย


ต่อเสร็จเรียบร้อย ติดแผ่น magnet ที่ให้มาที่ด้านหลัง


แถมกันอีกนิด (เหมือนๆ จะถนัดของแถม 5555) อีกอย่างที่เวลาไปไต้หวัน (และญี่ปุ่น) ต้องพยายามสงบอกสงบใจ ... คือ... กาชาปองค่ะ แบบชอบมากกก รอบนี้ไปเหล่ๆ หลายๆ อัน แต่แบบ ได้หมุนมาแค่ 3 อันเอง T^T อันนึงก็ 60NT ปกติตามหน้า 7-11 แฟมมาร์ท อะไรแบบนี้ก็จะมีสัก 6-10 ตู้นะคะ หรือจะเป็นร้านเลยก็มีหลายที่เหมือนกัน



มองที่เค้าโชว์ไว้.. อยากได้ปิกาจูอันตรงกลาง....
แต่ ได้อันนี้มา T^T
ชอบแบบนี้ ว่ามันหมุนๆ ให้กาชาปองอันน้อยๆ หล่นลงมาได้ด้วย

อันนี้ จริงๆ ก็อยากได้อันอื่น แต่ก็... อ่ะนะ กาชาปองมันเป็นการเสี่ยงโชค 55555

เจอตู้นี้แล้วชอบมาก Hanako คุณยายช้างไทยที่ไปอยู่ญี่ปุ่น เป็นที่รักของคนญี่ปุ่นจำนวนมาก คุณยายช้างเพิ่งล้มเมื่อปีที่แล้วเองค่ะ หลายคนอาจจะพอคุ้นๆ ข่าวกันบ้าง เห็นตู้นี้แล้ว เลยอดไม่ได้ที่จะกดมาสัก 1 อัน

 ได้มาเป็นอันนี้... น่าร้ากกก

แถม... อย่างสุดท้าย 555555 สำหรับใครที่ชอบรถของ Tomica เอมไปเจอร้านที่ขายราคาค่อนข้างถูก คือตรงสถานี mrt Beimen แล้วเดินไปทางที่จะไป mrt Taoyuan Airport เราจะผ่า่นที่เป็นร้านขายรองเท้า ขายของเล่น ให้เดินเข้าไปในร้านขายของเล่นเลยค่ะ รถ Tomica หลายรุ่นที่เอามาลด ราคาก็จะต่างๆ กันไปค่ะ บางอัน 100 NT เองค่ะ (ราคาที่เห็นใน Ximen จะประมาณ 290 NT ตามร้านอื่นๆ ก็จะประมาณ 250 NT)

อันนี้ไปเจอที่ Ximen ราคา 290 NT ค่ะ เพื่อนเอมซื้อก่อน เพราะกลัวจะไม่เจออีก ไปเจออีกรอบที่ร้านนั้น ในราคาที่ถูกกว่าครึ่งนึง... ก็... ช้ำใจไป... ส่วนของเอมที่ซื้อมา ... คือ ลืมถ่ายรูปมาค่ะ 55555 เก็บไว้ที่บ้าน เดี๋ยวไว้กลับบ้านจะไปถ่ายรูปมาลงเพิ่มให้นะคะ

สำหรับรีวิวชอปปิ้งเรื่อยเปื่อยรอบนี้ คงจบลงเพียงเท่านี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามรับชมกันค่ะ ^^