วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ที่นอนแปลกใหม่ในไต้หวัน... นอนในอควาเรียม

สถานที่ไหนที่แปลกที่สุดที่คุณเคยนอน
...
...
เด็กๆ นอนแต่บ้านตัวเอง โตขึ้นมา ทำงานลงพื้นที่ นอนบ้านชาวบ้าน ไปเที่ยวนอนในเต้นท์ตามป่าตามเขาบ้าง... แต่ไม่เคยคิดว่า ครั้งหนึ่ง เราจะมีโอกาสได้นอนในอควาเรียม ^^

เหตุเกิดจากการวางแผนทริปไปวิ่งที่เกาสง แล้วก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับที่เที่ยวที่น่าสนใจ แล้วเราก็ไปเจอข้อมูลจากเพจที่คนท่องเที่ยวไต้หวันหลายๆ คนคงจะติดตามอยู่ คือ http://www.flymetotaiwan.com/ และก็มีเนื้อหาในส่วนของการไปนอนในอควาเรียมพร้อมกิจกรรมต่างๆ อยู่ด้วย ไม่ต้องตัดสินใจอะไรให้มากมาย เราก็บรรจุโปรแกรมนี้ไว้ในแผนการท่องเที่ยวของเราเรียบร้อย เย้ๆๆๆๆ

อควาเรียมที่มีโปรแกรมพิเศษนี้คือ National Museum of Marine Biology & Aquarium หรือ NMMBA ซึ่งการที่จะไปนอนได้ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ หอบผ้าหอบผ่อนไปขอเค้านอนนะเออ ต้องมีการจองเรื่องที่พัก จ่ายเงินให้เรียบร้อยกันก่อน โดยเราจะเข้าไปจองในเวปที่ใช้ชื่อว่า Sleepover ตามลิงค์นี้เลยค่ะ


ซึ่งเค้าก็จะให้เราเลือกโซนที่จะนอน ที่เอมเลือกไปจะเป็นโซนอุโมงค์ จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตเรียบร้อย คนละ 2380 NT ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้จะรวมโปรแกรมเริ่มตั้งแต่ 16.00 น.ของวันที่ 1 ไปสิ้นสุดประมาณ 10.00 น.ของวันที่ 2 มีโปรแกรมการเรียนรู้เรื่องสัตว์น้ำ อาหารเย็น อาหารเช้า และการปั้นดินเป็นของที่ระลึก จองเสร็จจ่ายตังค์เรียบร้อยเราก็นั่งนับวันรอที่จะไป

เอมวางโปรแกรมว่าลงเครื่องที่เกาสงปุ๊บ ก็ต่อรถไปที่อควาเรียมเลย ซึ่งเราสามารถที่จะติดต่อจองรถ shuttle bus ของอควาเรียมที่วิ่งระหว่างสนามบินกับอควาเรียมได้ โดยต้องจองล่วงหน้า 2 วัน ผ่านทางอีเมล์ sea4545@kentington.com.tw ค่าใช้จ่าย 400 NT/trip/person แต่เอมไม่ได้ใช้บริการของอันนี้เนื่องจากวันที่ไปตรงกับพายุเข้าฮ่องกง (แวะต่อเครื่องฮ่องกง) เลยกลัวว่าไฟลท์จะโดนแคนเซิล เลยตัดสินใจว่าไปหาการเดินทางเอาเองที่สนามบินดีกว่า ซึ่งถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่าอควาเรียมอยู่ห่างจากเมืองเกาสงพอสมควรเลย


ลงเครื่องปุ๊บ ก็หาว่าเราจะเดินทางไปอย่างไร ปรากฏว่ามีรถบัสจากสนามบิน ไปที่ป้ายรถเมล์หน้าทางเข้าอควาเรียม แต่ต้องต่อรถ shuttle bus เข้าไปอีก เราสามารถติดต่อรถบัสได้จากเคาท์เตอร์ใกล้ประตูทางออก 5 (ที่เอมปักลูกศรสีแดงไว้) ตั๋วไปกลับ 600 NT (แต่ขากลับบอกเค้าว่าเราไปลงที่สถานีรถไฟเกาสง) รถบัสสายที่เรานั่งไปคือ 918 


 นั่งรถชมวิวเพลินๆ สัก 2 ชั่วโมง มี wifi ให้เล่นบนรถบัสด้วย เราก็ถึงป้ายรถเมล์ด้านหน้าอควาเรียม ลงรถแล้วให้เดินย้อนกลับมาถึงแยกไฟแดงที่มีประภาคารแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไป จะเห็นป้ายรถเมล์เป็นศาลาเล็กๆ ด้านขวา ยืนรอตรงนั้น สักพักกกกก ก็จะมีรถ shuttle bus มา... ระหว่างที่รอ shuttle bus ก็จะมีพี่แท็กซี่แวะเวียนกันมาเป็นระยะ พร้อมกับพยายามบอกเราว่า ไม่มีรถบัสๆ แต่เราก็ใจแข็ง 55555 แท็กซี่พี่เค้าเรียกเที่ยวละ 150 NT ต่อรองราคาไม่ยอมลด แต่ถ้ารอรถบัส คนละ 23 NT นะคะ 

ป้ายนี้แหละ ที่พี่แท็กพยายามมาเชิญชวนเรา
shuttle bus ที่เข้าไปที่อควาเรียม เหมือนจะมีห่างกันประมาณ ครึ่ง - 1 ชั่วโมงค่ะ ลงรถปุ๊บ เราก็เข้าไปติดต่อที่ information ได้ป้ายคล้องคอน่ารักๆ มาคนละอัน




เรามาถึงก่อนเวลา เลยถือโอกาสเดินเล่นชมอควาเรียมกันไปพลางๆ เค้าจะนัดเจอกันตรง lobby ตอน 16.00 น. ตอนที่ไป มีจุดที่กำลังซ่อมแซมปรับปรุงหลายส่วนอยู่เหมือนกันค่ะ อควาเรียมที่นี่ใหญ่ใช้ได้เลย โดยเฉพาะอุโมงค์ มี 3 ช่วงลึกลงไปเรื่อยๆ มีแยกโซนสัตว์แต่ละประเภท 
ส่วนของ lobby ที่เป็นจุดนัดเจอกัน (ภาพนี้ถ่ายตอนเช้าอีกวัน เลยไม่มีคนค่ะ ^^)


เดินเล่นถ่ายรูปเพลินๆ ก็ถึงเวลารวมตัว เค้าจะแบ่งกลุ่มกันตามป้ายค่ะ ป้ายรูปสัตว์เหมือนกันก็ให้อยู่รวมกัน ขอบอกไว้นิดนึงว่า โปรแกรมจะดำเนินด้วยภาษาจีนเป็นหลักนะคะ สำหรับคนที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาจีนได้ คือต้องคอยถามๆ น้องๆ เจ้าหน้าที่เป็นระยะ น้องบางคนพูดภาษาอังกฤษโอเคค่ะ บางคนก็ยังสื่อสารได้งงๆ ^^ เค้าจะพาเราลงไปชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นห้องอาบน้ำ (แยกชายหญิง) ล็อกเกอร์สำหรับเก็บของ และมีล็อกเกอร์ที่มีปลั๊ก สำหรับชาร์จแบตมือถือ ฯลฯ ด้วยค่ะ

ล็อกเกอร์สำหรับชาร์จแบตมือถือ มีกุญแจล็อคเรียบร้อย
ห้องอาบน้ำ มีแชมพู สบู่ ไดร์เป่าผมให้ แต่ต้องเอาผ้าขนหนู แปรงสีฟัน ยาสีฟันไปเองนะคะ
 สำรวจดูเรียบร้อย เค้าก็เรียกรวมตัวเพื่อไปห้องประชุม ฟังบรีฟ พร้อมกับสาธิตการปูที่นอน ซึ่งงงงง ก็เป็นภาษาจีนล้วนๆ เช่นเดิม แต่คงมีน้องที่สงสารพวกเรา เลยไปหาคู่มือเป็นภาษาอังกฤษมาให้ เย้ๆๆๆ ตอนนี้เริ่มจำหน้าได้แล้วค่ะ ว่าน้องคนไหนพูดภาษาอังกฤษคล่องๆ บ้าง เราจะตรงเข้าไปถามเรื่อยๆ



หลังจากนั้น ก็พาเราเดินชมในอควาเรียมค่ะ เสียดายจริงๆ ถ้าฟังภาษาจีนออกคงจะได้ความรู้เยอะกว่านี้ เพราะน้องๆ ทุกคนดูตั้งใจในการอธิบายมาก เด็กๆ ฟังกันตาแป๋วเลย เอมเองอาศัยความรู้ตั้งแต่เด็ก ที่โตมาแถวๆ อควาเรียมมาใช้ในการเดาว่าเค้าน่าจะกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ และอธิบายเพื่อนๆ อีกต่อหนึ่ง เดินเล่นกันพอให้หิวข้าว (มาก) เค้าก็พาเรามาที่ห้องอาหารค่ะ อาหารกับข้าวเป็นจานเล็กๆ หลากหลาย เลือกทานได้ตามอัธยาศัย 


ทานเสร็จแล้ว เราก็มีโปรแกรมต่อไปค่ะ คือ... ไปดูด้านบนแทงค์ ^^ เอมเคยมีโอกาสตามแม่ไปทำงานดูด้านบนแทงค์อควาเรียมอยู่บ้างตอนเด็กๆ แต่ขนาดแทงค์ผิดกันเยอะค่ะ 5555 อันนี้ใหญ่กว่ามาก มีให้อาหารปลา ให้ลองจับ แล้วก็ให้ทายด้วยว่าสิ่งนั้นคืออะไร (เฉลยเป็นไข่ปลาฉลาม) 


บ่อนี้เลี้ยงปะการัง อัดไฟกันเต็มที่
ชมด้านบนแทงค์เรียบร้อย... ยังค่ะ ยังไม่ได้นอน... เค้ามีกิจกรรมศิลปะให้เราทำกันต่อ เก็บกลับไปเป็นของที่ระลึกได้ด้วย เสร็จเรียบร้อย ก็ไปอาบน้ำอาบท่า เพื่อทำกิจกรรมต่อไป... ณ จุดนี้ เพื่อนรวมทริปเอมคนนึง นั่งปั้นงานศิลปะกับเอม แต่ออกมาน่ากลัวเล็กน้อย ขอสงวนไม่นำมาเผยแพร่ สำหรับเพื่อนอีกคนนึง นั่งสลบไปเรียบร้อยด้วยความง่วง

ฝีมือเอมเอง ^^
ปั้นเสร็จ อาบน้ำเสร็จ ก็ถึงโปรแกรมไฮไลท์อย่างหนึ่งค่ะ คือ การดูแทงค์ยามกลางคืน และแล้ว ก็เหมือนมีนางฟ้ามาโปรด... มีน้องคนนึงมาช่วยเป็นไกด์ภาษาอังกฤษให้เรา น้องเค้าบอกว่าการส่องไฟนั้น เค้าจะใช้ไฟสีแดงซึ่งจะรบกวนสัตว์น้อยกว่าไฟสีขาวตามปกติ ได้เห็นปลาหลายๆ ชนิดตอนหลับ ดอกไม้ทะเลตอนหลับ น่าสนใจมากจริงๆ ค่ะ

ส่องไฟกันเสร็จ ก็ถึงเวลาที่เรารอคอย เวลานอนในอควาเรียมนั่นเอง เค้าจะให้เราเลือกว่าเราจะนอนตรงไหน เอมเลือกอุโมงค์โซนที่ 2 ที่ปกติมันเป็นทางเลื่อนๆ เค้าก็จะพาเราไปเอาถุงที่นอน ที่ประกอบไปด้วย ที่นอน หมอน และผ้าห่ม แล้วก็ปูนอนกัน มันเจ๋งมากจริงๆ นะคะ เป็นอีกหนึ่งคืนที่หลับสบาย และมีความสุขมากๆ



ตอนกลางคืนมืดมาก ไม่ได้ถ่ายไว้ มาถ่ายตอนเช้าที่เริ่มมีไฟแล้ว น้องๆ มาปลุกตอน 7 โมงค่ะ ไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าวเช้ากัน อาหารเช้าที่นี่จะเป็นอาหารมังสวิรัตินะคะ อร่อยดี ทานอาหารเช้าเสร็จ เค้าจะให้เราไปดูโชว์ให้อาหารที่แทงค์ใหญ่ค่ะ 




จากนั้นก็เป็นโปรแกรมไปเดินที่ชายทะเลค่ะ เค้าจะพาสำรวจระบบนิเวศ ให้ดูตามแอ่งน้ำ ตามก้อนหิน ซึ่ง... โปรแกรมนี้ ก็เป็นภาษาจีนเช่นเดิมค่ะ T^T และที่สำคัญ ร้อนมากกก ให้ความรู้สึกของหมูแดดเดียวได้ดีจริงๆ


หลังจากเกรียมได้ที่ เค้าก็จะให้ทุกคนเข้าไปฟังในห้องประชุมกันอีกรอบ เอมคุยกับน้องเจ้าหน้าที่ว่ามีเป็นภาษาอังกฤษไหม น้องเค้าบอกว่ามีแต่ภาษาจีน เลยขอตัว น้องเค้าบอกให้ไปรับของที่ระลึกก่อน แล้วจากนั้นก็แยกย้ายกลับบ้านได้ ได้ปากกา กับแฟ้มมาเป็นที่ระลึก แล้วเอมกับเพื่อนๆ ก็เลยเดินเล่นเที่ยวชมอควาเรียม เอมได้เดินชม 2 อาคารใหญ่ๆ จะบอกว่าที่นี้พื้นที่กว้างขวางมากจริงๆ ค่ะ ถามน้องเค้าว่า เป็นของรัฐบาลหรือเอกชน น้องเค้าบอกว่า อาคารใหญ่ 2 อาคาร สร้างให้โดยรัฐบาล และอีกอาคารโดยเอกชน ปัจจุบันบริหารโดยเอกชน ตู้ขนาดใหญ่ๆ ที่นี่มีหลายตู้เลยทีเดียว มีร้านขายของที่มีของกุ๊กกิีกน่ารักเยอะมากๆ ชวนให้เสียสตางค์เป็นอย่างยิ่ง




ถึงแม้ว่าภาษาจีนจะเป็นอุปสรรคสำคัญอยู่บ้าง แต่เอมว่าโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมที่ดีมากๆ สิ่งที่ได้มาเทียบกับค่าใช้จ่ายแล้วถือว่าคุ้มค่า กลับมาเมืองไทยแล้วยังอยากกลับไปอีกรอบอยู่เลย 

ขากลับออกมา ต้องนั่งรถออกมาต่อรถบัสที่ฝั่งตรงกันข้ามกับป้ายเดิม ขากลับจากอควาเรียมเข้าเมืองเป็นสาย 9188 หรือ 9188A ใช้ตั๋วรถที่ซื้อมาตั้งแต่แรก พร้อมทั้งโชว์ภาษาจีนที่บอกว่าจะไปลงสถานีรถไฟเกาสง (ให้คนขายตั๋วที่สนามบินช่วยเขียนให้ตั้งแต่เมื่อวาน) นั่งรถหลับมาตลอดทางเตรียมตัวผจญภัยต่อในเกาสง ^^

Sun Moon Lake เส้นทางในฝันของนักปั่นจักรยาน

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้มา Sun Moon Lake 
แต่เป็นครั้งแรกที่ได้ปั่นจักรยานรอบ Sun Moon Lake


ไต้หวัน เป็นประเทศหนึ่งที่มีการส่งเสริมเรื่องของการปั่นจักรยานกันอย่างจริงจัง ก่อนที่่จะมาปั่นที่ SML เอมและผองเพื่อนก็ไปปั่นจักรยานเล่นโดยใช้จักรยานสาธารณะที่ทางรัฐจัดเตรียมไว้ที่เกาสงกันมาแล้ว เดี๋ยวจะเขียนเล่าถึงเรื่องนี้กันในบล็อกหน้า สำหรับเส้นทางปั่นจักรยานรอบ Sun Moon Lake นี้เป็นที่กล่าวถึงของนักปั่นจักรยานหลายๆ คนที่อยากมาปั่นจักรยานที่ไต้หวัน กับเส้นทางที่ไม่ได้โหดร้ายมาก ระยะกำลังดี มีวิวสวยๆ Bike lane งามๆ ร้านเช่าจักรยานที่มีหลายแบบหลายราคาให้เลือกสรร

การเดินทางไปปั่นจักรยานของเราในครั้งนี้ เราเดินทางมาจากเกาสง โดยรถไฟความเร็วสูงหรือ THSR จากเกาสงไปลงไถจง ตั๋วรถไฟนี้ถ้าจองล่วงหน้าผ่านเว็ปไซต์ก็จะได้ส่วนลดด้วย จากสถานี THSR ที่ไถจง เดินลงมาชั้นล่างจะเจอเคาท์เตอร์สำหรับขายตั๋วไป SML ซึ่งเค้าจะมีทั้งแบบที่ขายเฉพาะตั๋วรถบัส ราคาเที่ยวละ 170 NT หรือจะซื้อเป็นพาสสำหรับคนที่ต้องการจะไปนั่งเรือ นั่งกระเช้า นั่งรถบัสเที่ยวก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน รถบัสออกเป็นรอบๆ ดูตารางได้ตามนี้


รถบัสใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ไปถึงShueishe Visitors Center ลงรถบัสแล้ว เราเดินลงไปชั้นล่าง จะมีร้านเช่าจักรยานของ Giant อยู่ จริงๆ บริเวณนั้นมีร้านเช่าจักรยานอยู่หลายร้าน แต่ที่เราเลือกของ Giant ร้านนี้เนื่องจากช่วงที่ไปเดือนตุลาคมที่ไต้หวันจะเป็นช่วงเทศกาลปั่นจักรยาน ที่ร้าน Giant ร้านนี้มีโปรปั่นฟรี 2 ชั่วโมงแรก ชั่วโมงถัดไปคิดชั่วโมงละ 200 NT หรือ ถ้าเป็นวันก็วันละ 300 NT จักรยานสภาพโอเคเหมาะแก่การปั่นขึ้นลงเขา น้องพนักงานน่ารักมากแนะนำเส้นทางให้เป็นอย่างดี พร้อมกับให้แผนที่และบอกว่าช่วงไหนขึ้นเนิน ช่วงไหนลงเนินบ้าง ทางแยกชวนหลงทางอยู่ตรงไหน ถ้าลอดอุโมงค์เมื่อไรแปลว่าผิดทาง มีกราฟความชันอันน้อยๆ อยู่ในแผนที่ด้วย



จักรยานที่เช่า จะมีหมวกกันน๊อคให้ด้วย พร้อมด้วยน้ำอีก 1 ขวด จากนั้น เราก็เริ่มต้นปั่น โดยการปั่นเราจะปั่นวนตามเข็มนาฬิกา เพื่อให้ทะเลสาบอยู่ด้านขวาของเราตลอดเวลา (รถที่ไต้หวันขับชิดขวา) ปั่นไปเรื่อยๆ วิวงามๆ ก็หยุดถ่ายรูปกันเป็นระยะๆ เนินชันเกินก็เข็นขึ้นบ้างอะไรบ้าง


ปั่นผ่านวัด Wenwu แวะถ่ายรูปชมวิว พักเหนื่อย แล้วแวะกินข้าวปลาอาหารกันที่ Ita Thao Pier ที่มีร้านข้าวทั้งเป็นทางการและของกินข้างทางมากมาย กินข้าวแล้วก็เติมพลังกันด้วยชานมเล็กน้อย >< ออกปั่นขึ้นเนินกันยาวไป ยาวไป



ออกจาก Ita Thao Pier ก็ปั่นขึ้นเนินกันไปวัด Xuanzang จุดนี้แนะนำมากให้แวะขึ้นมาถ่ายรูปสวยๆ สามารถที่จะปั่นขึ้นเนินไปตรงเจดีย์ด้านบนสุดก็ได้นะ อีก 900 เมตร... แต่ๆๆๆๆ สมาชิกในแก๊งค์ลองปั่นขึ้นไป 1 คน และพบว่า... เจดีย์ปิดคับ ดังนั้น อยู่ตรงแค่วัด Xuanzang ก็พอ ><



พักให้หายเหนื่อยแล้วก็ปั่นกันไปเรื่อยๆ คราวนี้จะเป็นทางลงซะมากแล้ว ผ่านวัด Xuanguang ก็ได้ประมาณครึ่งทางแล้วนะ

ปั่นต่อไปจะเจอทางที่เป็นอุโมงค์ ถ้าเข้าไปก็ได้นะ แต่จะต้องไปเจอทางขึ้นเขาอีก 3 กิโล น้องพนักงานบอกให้เราไปทางที่เป็น bike lane (ในรูปคือที่มีท่อเหล็กขวางอยู่หน่อยๆ) ปั่นเข้าไปทางนั้นเลย แต่ทางนั้นก็เจอทางชันๆ ที่ต้องเข็นเป็นระยะๆ เหมือนกันนะ

พ้นจากทางชันๆ มา เราก็เจอเส้นทาง bike lane ราบๆ เลียบทะเลสาบสวยๆ แล้ว เย้ๆๆๆๆๆ ตอนช่วงนี้ปั่นสบายมากกกกก เรื่อยๆ ไปจนถึง Ziangshan Visitors Center เอาคูปองที่ได้จากที่ร้านไปแลกของที่ระลึกเป็นผ้าบัฟสวยๆ คนละ 1 อัน ^^

ออกจาก Visitor center ก็จะเป็นเส้นทางสวยๆ ที่ออกรายการทีวีบ่อยๆ ตรงช่วงนี้คนจะเยอะมาก ปั่นต้องระวัง ปั่นไปต้องคอยบอกคันที่สวนมาว่าให้ปั่นชิดขวานะคะ



กลับมาถึงร้าน Giant โดยสวัสดิภาพ ใช้เวลารวมทั้งหมดเกือบ 5 ชั่วโมง (แวะถ่ายรูปกันเมามันไปหน่อย) ถึงที่ร้าน น้องๆ จะถ่ายรูปเราเป็นที่ระลึก พร้อมทั้งพรินท์ใบประกาศนียบัตรว่าเราปั่นครบรอบให้ 1 ใบมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สำหรับใครที่นอนค้างที่ Sun Moon Lake แนะนำให้หาโอกาสเดินเส้นทางเทรลที่มีหลายเส้นทางให้เลือก ที่มา Sun Moon Lake คราวก่อน เอมเคยเดินเส้นทางตรงใกล้ๆ ท่าเรือ Shuishe ตอนเช้าๆ อยากบอกว่า เส้นทางดีมาก วิวสวย อากาศดี เดินเพลินๆ แต่คราวนี้ไม่ได้นอนที่นี้ เลยต้องนั่งรถบัสกลับไปที่ THSR เพื่อต่อรถไปไทเป

ไว้บล็อกหน้า พบกับที่นอนที่น่าสนใจใกล้เมืองเกาสง และงานวิ่งฟรุ้งฟริ้ง สำหรับคนชอบวิ่งอยากเปลี่ยนบรรยากาศนะคะ ^^